รายงานฉบับสมบูรณ์ การสาธิตการใช้งานระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและสิ่งแวดล้อม ปฏิบัติการภาคประชาชนเพื่อจัดการความเสี่ยงของประชาชนกลุ่มเปราะบางจังหวัดน่าน จากการตกสะสมของก๊าซกรดและปรอทข้ามพรมแดนจากโรงไฟฟ้าถ่านหินหงสาใน สปป.ลาว
Demonstrative Application of Information System Equipped with Operative
Community Citizen Science for Risk Management of Vulnerable
Populations in Nan Province from Transboundary Acid and Mercury
Deposition by Hongsa Coal-fired Power Plant in Lao PDR
การวิจัยนี้ศึกษาการใช้ระบบวิทยาศาสตร์ภาคประชาชนเพื่อเฝ้าระวังและจัดการความเสี่ยงจากการตกสะสมของก๊าซกรดและปรอทข้ามพรมแดนในพื้นที่จังหวัดน่าน โดยเน้นการเปลี่ยนจาก "การสาธิต" สู่ "ระบบแก้ปัญหา" ที่เป็นรูปธรรม ผลการศึกษาพบว่าเครือข่ายนักวิจัยพี่เลี้ยงภาคประชาช น 28 คนในพื้นที่ 7 หมู่บ้าน สามารถเก็บข้อมูลได้ 1,210 รายการ ซึ่งนำไปวิเคราะห์ด้วยระบบการเฝ้าระวังและวิเคราะห์ข้อมูล C-Site ร่วมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
ผลการตรวจวัดพบว่าดินในชั้นผิวหน้า (0-5 ซม.) มีค่า pH ต่ำกว่า 5.5 ในเกือบทุกพื้นที่ศึกษา โดยมีความสัมพันธ์เชิงลบกับการเกิดโรคพืช (p < 0.01) การวิเคราะห์ทางสถิติแสดงให้เห็นว่าเมื่อค่า pH ลดลง (ดินเป็นกรดมากขึ้น) มีแนวโน้มพบการเกิดโรคพืชสูงขึ้น โดยเฉพาะโรคเมล็ดด่าง (r = -0.67) และโรคใบไหม้ในข้าวและข้าวโพด (r = -0.62) นอกจากนี้ยังพบการสะสมเมทิลเมอร์คิวรีในปลาในช่วง 0.01-0.49 mg/kg โดยปลาครีบขนนกจากแม่น้ำน่านบริเวณอำเภอทุ่งช้างมีค่าเกินมาตรฐาน (0.49 mg/kg) ส่วนในข้าวพบการสะสมในช่วง Not Detected ถึง 0.03 mg/kg ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานความปลอดภัย (0.1 mg/kg)
การศึกษาพบรูปแบบการเพิ่มขึ้นของการสะสมเมทิลเมอร์คิวรีในปลาตามแนวการไหลของแม่น้ำน่านจากต้นน้ำไปท้ายน้ำ โดยปลากินเนื้อ (carnivorous fish) มีการสะสมสูงกว่าปลากินพืช (0.09 vs. 0.04 mg/kg, p< 0.001) และปลาในแหล่งน้ำไหลมีการสะสมสูงกว่าปลาในแหล่งน้ำนิ่ง (0.09 vs. 0.05 mg/kg, p < 0.01) สำหรับข้าว พบว่าข้าวพันธุ์พื้นเมืองที่มีสีเข้ม เช่น ข้าวคอลายดาและข้าวเข็ม มีการสะสมปรอทสูงกว่าข้าวทั่วไปและข้าวที่ปลูกในพื้นที่นาลุ่มมีการสะสมสูงกว่าข้าวที่ปลูกในพื้นที่ไร่ (p < 0.05)
ผลการวิเคราะห์พบความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญระหว่างการตกสะสมของปรอทจากแบบจำลอง AERMOD กับการสะสมเมทิลเมอร์คิวรีทั้งในปลา (r = 0.64, p < 0.01) และข้าว (r = 0.58, p < 0.05) โดยพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการตกสะสมของปรอทตามแผนที่มีการตรวจพบการสะสมเมทิลเมอร์คิวรีสูงกว่าพื้นที่อื่นซึ่งแสดงถึงความเชื่อมโยงระหว่างการตกสะสมของมลพิษข้ามพรมแดนกับการสะสมในห่วงโซ่อาหาร การวิเคราะห์สาเหตุของความเป็นกรดในดินพบปัจจัยร่วมระหว่างฝนกรดและการใช้ปุ๋ยแอมโมเนีย โดยในพื้นที่ใกล้ชายแดนได้รับอิทธิพลจากฝนกรดมากกว่าพื้นที่อื่น
โครงการได้พัฒนากลไกการส่งต่อข้อมูลสู่หน่วยงานภาครัฐ ทำให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างเครือข่ายนักวิจัยพี่เลี้ยงภาคประชาชนกับหน่วยงานภาครัฐ 7 แห่ง โดยข้อมูลได้ถูกนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาในรูปแบบงานประจำ ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าวิทยาศาสตร์ภาคประชาชนเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเฝ้าระวังและจัดการมลพิษข้ามพรมแดน โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลที่หน่วยงานภาครัฐเข้าถึงได้จำกัด และสามารถใช้เป็นต้นแบบสำหรับการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่อื่นต่อไป
คลิกที่ภาพด้านล่างเพื่อดาวน์โหลดไฟล์