ร่อนพิบูลย์กับความป่วยไข้สีดำ
เรื่อง: บำเพ็ญ ไชยรักษ์
ภาพ: เริงฤทธิ์ คงเมือง
เหมืองแร่นอกมหาลัย
แดนด้ามขวานของประเทศไทยมีฤดูฝนยาวนานถึง 8 เดือน และฤดูไม่มีฝนอีก 4 เดือน ความชื้นสูงไม่ว่าจะเดินทางผ่านถิ่นใดผลไม้อร่อยๆ สดๆ มีวางขายทั่วไปด้วยราคาย่อมๆ ที่ร่อนพิบูลย์ก็เช่นกัน คณะเราขับรถจากสงขลา ตามถนนสายเอเชีย มุ่งหน้าร่อนพิบูลย์อำเภอเล็กๆ ที่เคยมีประวัติเรืองรองเป็นแหล่งแร่ดีบุกที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในภาคใต้
ตระเวนรอบชุมชนในตำบลร่อนพิบูลย์อยู่หลายวัน เพื่อทำความรู้จักพื้นที่ โดยมีผู้นำชุมชนหลายท่าน กรุณานำทาง และพาพบปะพูดคุยกับชาวบ้านโดยเฉพาะ ในเขตเหมืองเก่า
ตลาดร่อนพิบูลย์ในปี พ.ศ. 2554 เป็นตลาดเล็กๆ ผู้คนไม่พลุกพล่านมากนัก ชุมชนรอบๆ ก็เช่นกัน มองดูคล้ายชุมชนเกษตรกรรมทั่วไป สวนมังคุด ลองกอง กำลังออกลูกดกดื่น แวะบ้านใดก็เป็นได้ชิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมังคุดลูกโตๆ อีกทั้งลูกจันทน์แช่อิ่มอบแห้งรสหวานกรอบ ที่นอกจากจะได้ชิมแล้ว ยังได้เมล็ดกลับมาทดลองเพาะอีกต่างหาก นอกจากนี้ ยังมีพืชเศรษฐกิจพวกยางพารา ปาล์มน้ำมัน แทรกสลับ
“นี่แหละร่อนพิบูลย์ ไม่ได้มีแต่โรคไข้ดำ แต่มีความเป็นมา มีความสมบูรณ์” มงคล ฤทธิมนตรี ครูหนุ่มใหญ่ ชาวบ้านตลาดร่อน หนึ่งในผู้นำทางอธิบายถึงชุมชนของเขาอย่างภาคภูมิใจ หากแต่เมื่อลัดเลาะเขาไปในเขตเหมืองเก่า ภาพที่เห็นก็แตกต่างออกไป คำบอกเล่าของเจ้าถิ่นบอกว่าพื้นที่สูงๆ ต่ำๆ ที่เต็มไปด้วยเศษกรวด หิน และทราย ร้างต้นไม้ มีบางแห่งที่กำลังยกร่องปลูกปาล์ม ปลูกยางพารา แต่ก็มีขนาดเล็กไม่สมบูรณ์
“ถ้ามองบนยอดเขารามโรม มองออกไปเห็นทะเลเลยนะ แม่น้ำลำคลองจากยอดเขารอบๆ นี้ เป็นสาขาของแม่น้ำปากพนัง แต่ถ้ายืนอยู่บนนี้เราจะมองเห็นเมืองร่อนพิบูลย์ได้ เห็นหลุมน้ำนั้นไหม นั่นคือ หลุมเหมืองเก่ามีนับ 10 หลุม เลยทีเดียว”
สมบูรณ์ อาพัทธนานนท์ อายุ 60 ปี ชาวบ้านเถลิง อดีตนายเหมืองดีบุกรุ่นสุดท้ายแนะนำ ขณะที่นำทางพวกเราเข้าไปยังภูเขาลูกหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของเหมืองหินศิลาอารีย์ ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกของเขาปัดโวก ซึ่งกำลังดำเนินกิจการระเบิด บดแยก และย่อยหินก่อสร้าง หนึ่งในเหมืองหินเก่าแก่ที่ยังดำเนินการอยู่ในอำเภอร่อนพิบูลย์ และตลอดสองข้างถนนสายเอเชีย ซึ่งมีเหมืองหินแบบนี้อยู่จำนวนมาก
“ตรงนั้นเขารามโรมอยู่สูงที่สุด เขาควนเคย เขาชุมทอง เขาร่อนนา เขาสรวงจันทร์ ฯลฯ เรายืนอยู่บนยอดเขาปัดโวก (เหมืองหินศิลาอารีย์) ส่วนที่เคยทำเหมืองเรือขุดก็อยู่ตรงบ้านเถลิง บ้านร่อนนา และก็ในตลาดร่อนพิบูลย์ปัจจุบันนี้ ถ้ามองจากตรงนี้จะเห็นหลุมน้ำใหญ่ๆ นับ 10 หลุม แล้วตรงโน้นสนามกีฬาเทศบาลตรงนั้นมีขุมเหมืองเรือขุด ปัจจุบันเป็นหลุมน้ำขนาดใหญ่ เป็นหลุมน้ำเปื้อนสารหนู”
สมบูรณ์ อดีตนายเหมือง อธิบายถึงที่ตั้งเหมืองเรือขุดที่ปิดร้างไปแล้ว เหลือเพียงขุมเหมือง เป็นร่องรอยให้เห็น และเมื่อยืนอยู่บนยอดเขาสูงนั้นสามารถพิจารณาลักษณะทางกายภาพของอำเภอร่อนพิบูลย์ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากตัวจังหวัดนครศรีธรรมราช ทางทิศใต้ประมาณ 25 กิโลเมตร เป็นดินแดนบนที่ราบเชิงเขามีทิวเขาสูงวางตัวในแนวเหนือ - ใต้ ประกอบด้วย เขาคูหา เขาสรวงจันทร์ เขาร่อนนา และเขาลำแหลน เขาควนเคย เขาชุมทอง เขารามโรม เขาปัดโวก สภาพโดยรวมลาดเทไปทางทิศตะวันออก ทำให้บริเวณที่ราบเชิงเขานี้กลายเป็นแหล่งสะสมตะกอนน้ำพัดพา ที่อุดมไปด้วยสินแร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดีบุก นอกจากนี้ยังมีแร่วุลแฟรม ยิปซั่ม พลวง แบไรต์ โดโลไมท์ ฟอสเฟต เป็นต้น ที่สำคัญคือตลอดเชิงเขาร่อนพิบูลย์เป็นแหล่งแร่ดีบุก หรือ ตะกั่วดำ ที่สมบูรณ์เป็นที่หมายปองของบรรดานายเหมืองทั้งจีน ฝรั่ง ไทย
นอกจากเป็นแหล่งแร่แล้ว ทิวเขาเหล่านั้นก็เป็นแหล่งต้นน้ำของลำห้วยน้ำธรรมชาติ มีน้ำไหลตลอดปีคือลำห้วยหัวเหมือง ซึ่งมีต้นน้ำจากบริเวณร่องเขาร่อนนากับเขาสรวงจันทร์ และลำห้วยร่อนนา มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาร่อนนากับเขาลำเหลน ลำห้วยทั้งสองสายนี้เป็นสายห้วยสำคัญที่ไหลมาบรรจบกัน ที่บริเวณบ้านร่อนนา หมู่ 2 ตำบลร่อนพิบูลย์ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของตลาดร่อนพิบูลย์ในปัจจุบัน แล้วไหลผ่านชุมชนอีกหลายชุมชน จากนั้นจะไหลอ้อมไปทางทิศเหนือไปบรรจบกับลำห้วยเขานุ้ย ไหลสู่คลองน้ำขุ่นทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตำบลร่อนพิบูลย์ ก่อนจะไหลไปรวมกับลำคลองสายอื่นๆ แล้วไหลสู่คลองชะอวด ก่อนจะไหลออกสู่แม่น้ำปากพนัง ออกสู่อ่าวไทยที่อำเภอปากพนัง
เดิมพื้นที่บริเวณนี้เป็นป่าเขตร้อนชื้นที่มีต้นไม้หนาทึบ มีพืชพรรณธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ คนในพื้นที่เป็นชาวสวนชนิดที่เรียกว่า “สวนพ่อเฒ่า” คือปลูกหลายๆ อย่างรวมกัน เช่น หมาก มะพร้าว เงาะ มังคุด ลางสาด ทุเรียน จันทน์เทศ รวมอยู่กับไม้ธรรมชาติอื่นๆ ส่วนการทำแร่จะทำเพียงร่อนแร่ตามลำห้วยลำธาร บริเวณเชิงเขาร่อนนา กลายเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ของคนที่มาร่อนแร่ ชื่อ “บ้านร่อน” แต่เมื่อดีบุกเป็นสินแร่ที่มีราคาค่างวดสูง จนกลายเป็นสินค้าสำคัญที่ทำให้เกิดการเชื่อมโยงค้าขายทั้งภายในและนอกประเทศ อาชีพร่อนแร่จึงกลายเป็นแหล่งรายได้หลักของคนท้องถิ่นนี้และคนต่างถิ่นที่อพยพมาจับจองพื้นที่ทำมาหากินด้วยการร่อนแร่ ก่อนกิจการเหมืองแร่จะขยายใหญ่โตสร้างเศรษฐกิจที่อิงอยู่กับเหมืองแร่ สร้างความรุ่งเรืองขึ้นอย่างรวดเร็วจนบ้านร่อน ยกฐานะเป็นตำบลร่อนพิบูลย์ ในปี พ.ศ. 2447 ได้รับการยกฐานะเป็น “แขวง” และเปลี่ยนมาเป็น “อำเภอ” ตามลำดับ
“ไปร่อนแร่ต้องไปแต่เช้าตรู่พอมองเห็นลายมือ เตรียมอาหารให้เสร็จแล้วเดินไปบนเขา บางบ้านสร้างเพิงพักหุงหาอาหารกินบนนั้น ตอนแรกก็แค่ตักเอาตะกอนดินที่มีผงแร่ปนอยู่ในห้วยใส่เลียง ที่ทำจากไม้ทรงกลมก้นลึกแหลม มือหนึ่งโคลงเลียงไปมาเรื่อยๆ ในน้ำ มือหนึ่งกว้านหินดินทิ้ง ทำอย่างนั้นจนดินโคลนล้างไปกับน้ำเหลือหินทรายขนาดเล็กกับแร่ ก็เหวี่ยงเลียงให้น้ำวนที่ก้นเลียง แยกทรายที่เบากว่าไว้บน ส่วนดีบุก ผงสีดำหนักกว่าจะอยู่ก้นเลียง โคลงเลียงไปจนแร่ที่ตกอยู่ก้นเลียงสะอาดก็เทเก็บไว้ในกระป๋อง”
ยายพลอย คมสันต์ วัย 84 ปี ชาวบ้านท้ายเรือ ตำบลร่อนพิบูลย์ เล่าถึงประสบการณ์ของตน ในการทำอาชีพร่อนแร่ดีบุกเมื่อตอนยังเป็นสาว สามีพาอพยพจากบ้านเดิมมาอยู่ร่อนพิบูลย์
ยายพลอย เล่าว่า กิจการเกี่ยวกับแร่ไม่ได้หยุดอยู่ที่คนร่อนแร่เล็กๆ น้อยๆ ที่บ้านร่อนเท่านั้น คุณยายเป็นคนจากอำเภออื่นแต่มาที่นี่หลังแต่งงานแล้ว สามีพามาตั้งรกรากที่นี่เพราะที่นี่ “รวยแร่” ตอนนั้น คุณยายอายุ 20 ปี มาสร้างเพิงพักร่อนแร่ แต่ละวันคนจำนวนมากจากหมู่บ้านเดินขึ้นไปบนภูเขา ทำงานขุดร่อนแร่ทั้งวันราวห้าโมงเย็นก็กลับลงมา ได้แร่วันละ 1 - 2 กิโลกรัม สะสมจนได้เต็มกระป๋องนมผง (ประมาณ 12 กิโลกรัม) ก็เอาไปขายกิโลกรัมละ 10 บาท อาทิตย์กว่าก็จะได้เงินประมาณ 120 บาท เอาไปขายให้เฒ่าแก่พิณ หรือไม่ก็ขายให้เฒ่าแก่ค่ายถ่าย หรือนายห้างอึ้ง ค่ายถ่าย คนรับซื้อแร่ในตลาดร่อน
ต่อมาคุณตาคู่ชีวิตของคุณยายเปลี่ยนมาทำงานในโพรงเหมืองที่ขุดเป็นปล่องลงไปจนถึงชั้นแร่ และใช้ไม้ทำเสากันดินพัง เพื่อขุดเอาดินที่มีแร่ปนอยู่ขึ้นมา ล้างร่อนเอาสินแร่ แต่วันหนึ่งคุณตาสิ้นใจในหลุมเหมือง เพราะขาดอากาศหายใจ บางคนบอกว่า ในรูนั้น มีฝุ่นพิษ นับแต่นั้นมาคุณยายก็ยังคงร่อนแร่ลำพังแต่ย้ายมาเป็นการร่อนแร่ท้ายเหมืองใหญ่ ที่มีคนเข้ามาทำเหมืองแบบหาบขุดภูเขา ฉีดน้ำล้างแร่ มีรายได้จากการขายแร่พอเลี้ยงลูก
จนเมื่ออายุได้ประมาณ 30 ปี คุณยายเริ่มมีอาการเป็นจุดสีดำๆ ขึ้นตามผิวไม่รู้ว่าเป็นอะไร ปัจจุบันลูกสาว และหลานชายคุณยาย ก็มีอาการเดียวกันนานหลายปีกว่าจะรู้ว่าเป็นอาการของโรคไข้ดำ
การขุดทำ “หลุมงัน” หรือเหมืองเจาะงัน (Gophering Hole) แบบที่คุณยายพลอยเล่านั้นเป็นการทำเหมืองแบบไม่ต้องอาศัยเครื่องจักร เพียงแค่ขุดลึกเข้าไปในดินประมาณ 10 กว่าเมตร เพื่อเอาดินที่มีสินแร่ออกมา ล้างร่อน หลุมงันจะขุดไม่ลึกไปกว่านี้เพราะจะเข้าไปทำงานไม่ได้จะขาดอากาศหายใจ การทำเหมืองแบบนี้ เป็นวิธีที่เสี่ยงอันตรายอาจจะเกิดดินถล่มทับหรือขาดอากาศหายใจ เพราะในหลุมลึกมีก๊าซออกซิเจนต่ำ
คนหนุ่มๆ มักจะนิยมไปขุดหาแร่แบบนี้ถือเป็นการแสวงโชคอย่างหนึ่ง ถ้าใครโชคดีจะเจอสายแร่ได้แร่มาก แต่บางคนอาจจะโชคร้ายถูกดินถล่มทับฝังทั้งเป็นก็มี นอกจากนี้ บนเขามักจะมีเหตุการณ์ฆ่ากันเพื่อปล้นแร่ บางคนถูกโจรปล้นแร่ฆ่าแล้วโยนลงหลุมเหมืองฝังไว้เลยก็มี ดังนี้ การทำเหมืองแร่ที่เกิดจากคนหลายบ้าน หลายเมืองมาอยู่รวมกันจึงมีอันตรายมาก คนทำเหมืองต้องกล้า บางทีต้องพกอาวุธป้องกันตัว ทั้งจากโจร และจากสัตว์ร้าย เพราะการทำเหมืองหลุมงันต้องใช้เวลาขุดหลายวันต้องสร้างเพิงพักบนเขา คนที่จะทำเหมืองแบบนี้ได้ต้องเชี่ยวชาญทั้งเรื่องสังเกตแหล่งแร่ รู้จักป่าเขา และรู้เรื่องดินเป็นอย่างดีจึงจะอยู่รอดได้
อ่านบทความต่อได้ที่นี่ >>> ร่อนพิบูลย์กับความป่วยไข้สีดำ
หมายเหตุ บทความนี้คัดบางตอนมาจากหนังสือ “เมฆปริศนา ประวัติศาสตร์บอกเล่าถึงเหมืองแร่ในประเทศไทย” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือชุด “เล่าเรื่องเหมืองแร่ในเมืองไทย” อันประกอบด้วยหนังสือ 2 เล่ม คือ “เมฆปริศนา ประวัติศาสตร์บอกเล่าถึงเหมืองแร่ในประเทศไทย” ซึ่งเป็นเล่มที่อุดมไปด้วยเนื้อหาสาระที่อ่านง่าย ได้ทั้งความรู้ความเข้าใจและเห็นภาพตามไปด้วยราวกับตาเห็น และ “รอยเหมือง สารคดีภาพเล่าเรื่องเหมืองแร่ในเมืองไทย” ซึ่งเป็นหนังสือภาพถ่ายด้วยฝีมือชั้นโปร พร้อมคำบรรยายที่สั้น กระชับ บอกเล่าข้อมูลและสะท้อนความรู้สึกนึกคิดได้ดีเยี่ยม
คลิกที่รูปเพื่อดาวน์โหลดหนังสือ